เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑o ส.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ สัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันประเสริฐมันเลอเลิศ มันมหาศาล มหาศาลตรงไหน

พวกเราสมองแค่นี้ พวกเราความรู้ปุถุชนทั้งนั้นน่ะ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมแล้วท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นศาสดา แต่ท่านกราบธรรมๆ

แล้วพระก็ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำอะไรน่ะ

“เรากราบธรรมๆ” กราบสัจธรรมที่ท่านตรัสรู้เองโดยชอบ

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระสงฆ์ๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม

เราชาวพุทธเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นที่พึ่งที่อาศัย แต่เราไม่ได้อาศัยโดยเป็นสัจจะเป็นความจริงไง เราอาศัยเครื่องอาศัย อาศัยที่ว่า อาศัยโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก อยากได้อยากดีอยากเด่น อยากให้มันเป็นไปตามที่เราต้องการ แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันไม่ใช่ที่ไหนนะ มันไม่ใช่อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน

เวลาอำนาจวาสนาของคน พันธุกรรมของจิตๆ คนเราสร้างเวรสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดไม่เหมือนกัน ความคาดคะเนต่างๆ ไม่เหมือนกัน พอความคาดคะเนไม่เหมือนกัน การคาดการหมายนั้นน่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คาดหมายเพื่อต้องการอยากได้อยากดีอยากเด่น อยากตามความต้องการของตน แต่ความจริงมันผิดหมดเลย นี่มันเป็นเครื่องอาศัยๆ ไง

เวลาเครื่องอาศัย ในโลกนี้สิ่งที่เราแสวงหากันมันเป็นเครื่องอาศัยทั้งสิ้น แต่สัจธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างอวิชชาคือความไม่รู้ในใจของตน

แล้วตอนนี้เราไม่รู้ทั้งสิ้น เราไม่รู้สิ่งใดเลย แล้วศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาเราก็ว่าเราเข้าใจๆ ไง เราก็อยากได้อยากดี อยากให้เป็นอย่างนั้นไง แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันไม่ได้ตามความเป็นจริงของเรา

แต่ถ้าเราเสียสละ เราทิ้ง เราทิ้ง เราทิ้งไง เราทิ้ง เราทิ้ง เราทิ้งอารมณ์ความรู้สึกของตน เราทิ้งสิ่งที่ปรารถนา เราทิ้งสิ่งที่เราคาดเราหมาย เราทิ้งที่เป้าหมายของเรา แต่เราสร้างความเพียรของเรานะ เราเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาของเราให้มันเป็นความจริง แต่เราทิ้ง เราทิ้ง เราทิ้ง เราทิ้งแต่เรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เราทิ้งสิ่งที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันคาดมันหมายไง แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมาไง

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม เวลาพระเขาพูดกันบ่อย ธรรมะใครทำลายไม่ได้

สิ่งที่เวลาปุถุชน เวลานักบวชที่มันจะเสื่อมเสียกันไป นั่นเป็นเรื่องของบุคคลๆ ไง ธรรมะมันไม่มีบุบสลาย ไม่มีสิ่งใดเศร้าหมอง มันยอดเยี่ยมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ ไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราแสวงหาๆ เราทำไร่ไถนาขึ้นมา เราต้องการแสงแดด เราต้องการน้ำ นี่ไง เวลาเราต้องการ เราต้องการเพราะเราเห็นไง

นี่ก็เหมือนกัน เราทำมาหากินของเราด้วยความทุกข์ความยากของเราทั้งสิ้น แต่เวลาชาวไร่ชาวนาของเขานะ ถ้าไม่มีแดด ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์เปรียบเหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาพระธรรม พระธรรมเปรียบเหมือนดวงจันทร์

ดูสิ แสงสว่างของโลก แสงสว่างของดวงอาทิตย์ แรงโน้มถ่วง พลังงานทุกอย่างเกิดจากดวงอาทิตย์ ทำไร่ไถนาขึ้นมา อาหารการกินที่เราได้กินกันอยู่นี่ก็มาจากแสงแดด สิ่งต่างๆ เราได้มา ดวงจันทร์ๆ แรงโน้มถ่วง น้ำขึ้นน้ำลง น้ำขึ้นน้ำลงขึ้นมามันทำให้สัตว์น้ำมีการวางไข่ มันมีการฟักตัวอ่อน มันมีอาหารมาให้เราได้อยู่ได้กิน

ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์มีคุณค่ามาก แต่ไม่มีใครเคยเห็นนะ เห็นแต่ดิน ขุดไร่ไถนาอยู่ที่นี่ไง

พระพุทธ พระธรรม สัจธรรมๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ สัจธรรมนั้นเลอเลิศนัก เลอเลิศนักแต่เราเข้าไม่ถึง เราเห็นได้แต่หัวไร่ปลายนาไง เวลาทำไร่ไถนาก็ทำมาหากินกันไง เราทุกข์เรายากอยู่นี่ไง แต่เราไม่รู้หรอกสิ่งที่มันได้มาๆ ได้มาจากแสงแดด ได้มาจากดวงอาทิตย์ไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเลอค่า เลอค่าอย่างนั้นน่ะ จนคนไม่เห็น คนไม่รู้ ไม่รู้จักนะ ไม่รู้ด้วย มีแต่พระไตรปิฎกๆ พุทธพจน์ๆ แต่มันไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้า ไม่เห็นสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน มารื้อค้นขึ้นมาจนได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพระโพธิสตัว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทุกข์ยากมาขนาดไหน พยายามแสวงหา พยายามสร้างคุณงามความดีสะสมไว้เป็นพระโพธิสัตว์ๆ

กว่าจะตรัสรู้ธรรมขึ้นมาได้ ๖ ปีไปศึกษากับเขา ไร้สาระ เวลาจะมารู้ มารู้เองด้วยความสามารถของตน เวลาความสามารถของตน สิ่งที่ความสามารถที่ได้รู้มา วิมุตติสุขๆ ที่กราบไหว้บูชากันอยู่นั่นไง

ถึงเวลาแล้วพระพุทธ พระธรรม พระพุทธ พระธรรม รัตนะสอง เวลาแสดงธรรมๆ คนที่มีสติมีปัญญาเท่านั้น สิ่งที่เราว่ารู้ๆ วางไว้หมดไง เวลาวางไว้หมด สิ่งที่เสียสละไป สิ่งที่ไม่รู้ๆ ทั้งสิ้น เวลามันรู้ขึ้นมาในใจ นี่สัจธรรมๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นที่พึ่งอาศัยของพวกเราไง เป็นที่พึ่งอาศัยๆ แต่เราอาศัยด้วยความรู้สึกนึกคิดของเราไง เราอาศัยด้วยวุฒิภาวะของเราสูงต่ำมากน้อยแค่ไหนไง

ดูเด็กๆ สิ เด็กๆ เวลามันเกิดมา พ่อแม่เลี้ยงดูมาถนอมรักษาทั้งสิ้น พวกเราชาวพุทธๆ เหมือนเด็กๆ นะ ไร้เดียงสา พอไร้เดียงสา เราก็ต้องฟื้นฟูขึ้นมา

เราทำหน้าที่การงานขึ้นมาด้วยความทุกข์ความยากนะ เพื่อเลี้ยงชีวิตๆ ไง แต่เวลาเป็นธรรมะ ธรรมะมันเลี้ยงหัวใจไง หัวใจเรามันอ่อนแอ มันไร้เดียงสา มันไม่มีความรู้สิ่งใดทั้งสิ้นเลย เราเข้าวัดเข้าวาขึ้นมาเราก็มาฝึกหัดของเราไง วัฒนธรรมประเพณีขึ้นมาขอให้เราซาบซึ้งเข้ามาในใจไง

เวลาคนที่จะค้นคว้าๆ ขึ้นมา สติ แล้วค้นคว้าขึ้นมามีสติยับยั้งขึ้นมา สิ่งที่มันเชื่อๆๆ กาลามสูตร พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วไง ถ้าสิ่งที่เรายังหูตามืดบอดอยู่ เราก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก แล้วมันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของใจมันสูงต่ำแค่ไหนไง มันก็นึกได้มากนึกได้น้อยไง แต่คนที่มีอำนาจวาสนาเขาเสียสละทางโลกมาเลย เขาจะค้นคว้าหาแก้วดวงนั้นเลย แก้วดวงนั้น แก้วในดวงใจนั้นเลย แล้วเวลาทำความจริงขึ้นมาให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา การกระทำขึ้นมา

ศรัทธา มีศรัทธาเราศึกษา เรามีความเข้าใจแล้ว ถ้ามีความเข้าใจแล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ

แต่ถ้าคนไม่เชื่อมันจะศึกษาไหม เด็กของเรา ถ้าเราไม่ปลูกฝังในการศึกษามันจะโตขึ้นมาไหม มันจะยืนอยู่ในสังคมได้หรือไม่ มันจะยืนอยู่ในสังคมได้มันก็ต้องมีสติมีปัญญาของเขา แล้วสติปัญญา นั่นคือปัญญาของเขา แล้วพาเขาเข้าสังคม ให้เขามีที่ยืนในสังคมไง มาวัดมาวาให้มาเห็นพระไง

เห็นพระ พระหัวโล้นๆ นั่นน่ะไม่ทำอะไรเลย เช้าก็บิณฑบาต เช้าก็บิณฑบาต

แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงนะ อยู่ไม่ได้หรอก พระหัวโล้นๆ ถ้าเช้าขึ้นมาบิณฑบาตนะ กินอิ่มนอนอุ่นมันก็เป็นหมูไง เวลามันมีความสุขนะ ถ้าหัวใจนะ มันมีกินอิ่มนอนอุ่นนะ กามราคะมันจะเพิ่มในหัวใจของมัน มันจะมีความแสวงหา มันจะมีกิเลสบีบคั้นหัวใจของมัน

มันสุขที่กาย สุขที่กายคือว่ามันอิ่มหนำสำราญของมัน แต่กิเลสมันพองตัวอ้วนๆ

พระไม่เห็นทำอะไรเลย เช้าขึ้นมาก็บิณฑบาตๆ บิณฑบาตมาแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา หัวใจของใครนะ ใครทำฌานสมาบัติได้ก็เริ่มจากฌานสมาบัติไป ใครใช้สติปัญญาขนาดไหนก็ใช้สติปัญญาของตนไป ทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่ในถ้ำ ในที่คูหา ในที่กระทำของตนไง

ภัตกิจๆ การกินก็คือการทำงานอันหนึ่ง การเคี้ยวเอื้องๆ วัวมันกินหญ้าเสร็จแล้วมันก็คายออกเพราะมันเคี้ยวเอื้องๆ เวลาพระขึ้นมาจะฉันภัตตาหารเพื่อดำรงชีพไง เพราะธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นวิทยาศาสตร์ไง มันเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะชีวิตมันต้องการอาหารทั้งสิ้นใช่ไหม แต่อาหารนี้ก็เพื่อมาบำรุงร่างกาย เห็นไหม

นี่ไง เด็กน้อยถ้ามันไร้เดียงสาอยู่ เราพาเข้าวัดเข้าวาเพื่อเป็นศรัทธาความเชื่อของเขา แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมานะ วัวมันเคี้ยวเอื้อง พระทำภัตกิจ นั่นก็กินเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน โลกกินเพื่อกาม กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อศักดิ์ศรี เวลาเข้าไปในโต๊ะอาหารศักดิ์ศรีสูงส่งมาก ต้องเรียงตามลำดับชั้นนะ โต๊ะประธานต้องนั่งบนหัวโต๊ะ ไอ้พวกนั้นอยู่ข้างหลัง นี่กินเพื่อศักดิ์ศรี กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อกาม กินเพื่อกามนะ

สมณะฉันเพื่อดำรงชีพ เห็นไหม กินไม่เหมือนกัน อย่างที่ว่าวัวมันเคี้ยวเอื้อง พระทำภัตกิจ แต่ทำกิจเพื่อดำรงชีพ ดำรงชีพไว้ทำไม นี่ไง ไม่ใช่ไร้เดียงสาแล้ว ชีวะมีค่ามาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ชีวะ ชีวะมาเกิดเป็นเรานี่ไง จิตใต้สำนึกไม่มีใครเห็นหรอก ไม่มีใครรู้หรอก เว้นไว้แต่พระปฏิบัติ พระที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะรู้ เขาจะเห็นของเขา วิปัสสนาไปในใจของเขา นี่ไง ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม

ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ มันจะมีการศึกษาค้นคว้าไหม ถ้ามีการศึกษาค้นคว้าขึ้นมา มีศรัทธามีความเชื่อแล้ว เวลาประพฤติปฏิบัติไง กาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อว่าใครมันจะมาครอบงำ อย่าเชื่อว่าใครมันชี้นำ อย่าเชื่อ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจของตน ถ้ามันเป็นความจริงในใจของตนนะ

เวลาหลวงปู่ดูลย์ท่านสอน เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติไปมันอยู่ที่อำนาจวาสนาไง มันเกิดนิมิต เกิดความรู้ความเห็น มันเกิดนิมิต เกิดความรู้ความเห็นมันก็อยู่ที่จริตนิสัย ดูสิ อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน ความรู้ความเห็นของคนไม่เหมือนกัน บางคนไม่รู้ไม่เห็นอะไร สงบไปเฉยๆ สงบโดยเป็นสัมมาสมาธิ สงบโดยคุณงามความดี บางคนจะรู้จะเห็นอะไรมันก็รู้ไปหมด

เหมือนทางโลก เราสอนเด็กให้ทุกคนเป็นคนดีหมด แต่ทำไมเด็กมันไปติดยาบ้า เด็กไปเล่นเกม เด็กมันช่วยพ่อช่วยแม่ทำมาหากิน เด็กกตัญญูมันไปดูแลปู่ย่าตายายของมัน เห็นไหม มันไม่เหมือนกันหรอก

ฉะนั้น พอไปรู้เห็นก็เห็นตามจริตนิสัยนี่ไง สิ่งที่รู้เห็นนั้นจริงไหม จริง เห็นจริงๆ รู้จริงๆ แต่ความรู้ความเห็นนั้นเป็นจริงหรือเปล่า ไม่ ไม่หรอก มันเป็นสามัญสำนึกของคน

โลกทัศน์ๆ รู้แจ้งโลก รู้แจ้งโลก รู้แจ้งโลกในใจของตน ไอ้นี่มันธาตุรู้ไปสิ่งที่ถูกรู้ รู้อารมณ์ รู้นิมิต นี่รู้อะไร รู้อะไร นี่ไง ว่าอย่าเชื่อๆๆ ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ต้องตรวจสอบๆ เป็นจริงหรือไม่ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมา ใจมันจะพัฒนาขึ้นๆ

นี่ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สัจจะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันเด็ดขาด อริยสัจมีหนึ่งเดียว ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

เราทุกข์ไหม ทุกข์ทุกคน แล้วบ่นกันนะ บ่นกันจนน้ำลายท่วมทุ่ง แล้วทุกคนอยากพ้นทุกข์นัก แต่ไปยอมจำนนกับทุกข์ไง อยากพ้นทุกข์แต่ไปกราบขอขมาลาโทษกับทุกข์ ไปยอมจำนนกับมันไง

แต่พระกรรมฐาน ครูบาอาจารย์เราไม่ ที่ไหนมันทุกข์ ที่ไหนมันอัตคัดขาดแคลน หลวงตาสอนประจำ ที่ไหนอัตคัดขาดแคลน ธรรมจะเกิดตรงนั้น ธรรมจะเกิดตรงที่มันทุกข์ๆ ยากๆ เพราะมันทุกข์ๆ ยากๆ ปัญญามันจะหาทางออก มันจะพิจารณาของมัน มันแก้ไขของมัน

ที่ไหนที่มันทุกข์มันยากนั่นน่ะ ธรรมะมันจะเกิดตรงนั้นน่ะ

แต่พวกเราไม่ใช่ ที่ไหนที่มันทุกข์ วิ่งหนีเลย เอาแต่ที่สุขสบาย ติดห้องกระจกเลย ติดแอร์ด้วย นั่งหลับกันคร่อกๆ เลยนะ นั่งภาวนาสัปหงกหัวชนกัน

แต่ของเรานะ ใครมานั่งที่นี่บ่นทุกคนเลย ยุงตัวใหญ่ ยุงมันเอาหลอดกาแฟมาด้วย เวลามันเจาะมันดูดปรู๊ดๆ เลย

นี่มันสัจธรรม สัจธรรมเป็นความจริง ความจริงๆ เราหาความจริงของเราได้ นี่ไง ทุกข์อยู่ที่ไหนล่ะ นี่เวลาเห็นไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เห็นหรือเปล่า

นี่ไง สัจธรรม ดวงอาทิตย์ พระจันทร์ไง ดวงอาทิตย์ให้แสงสว่าง ให้พลังงาน ให้อาหาร ให้ทุกอย่างเลย ดวงจันทร์ แรงโน้มถ่วงให้น้ำขึ้นน้ำลง ให้เกิดสัตว์น้ำ ให้เกิดต่างๆ แต่พวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เห็นคุณค่าเลย ไม่เห็นประโยชน์ของเขาเลย ไม่เห็นคุณของเขาเลย ไม่รู้จักความจริงเลย

รู้แต่นะ หลวงตาเวลาท่านเอ็ดพระ ว่าพระที่ไม่เอาไหน ท่านบอกเลย ไม่รู้อะไรเลยนะ เห็นแต่ในบาตร รู้แต่ในบาตรไง ในบาตรมันของตน ในบาตรมันกำลังจะฉันนั่นน่ะ อะไรไม่รู้เลย ข้าวมาจากไหน ข้าวน่ะ

เวลาข้าวขึ้นมา เวลาเขาทำไร่ไถนาขึ้นมา ข้าวมาจากหยาดเหงื่อของชาวนา แต่มันเป็นธุรกิจขึ้นมา เห็นไหม ข้าวมาจากไหน ข้าวก็มาจากห้างสรรพสินค้าไง ข้าวก็มาจากหม้อไง ข้าวก็อยู่ในบาตรนี่ไง นี่ไง เวลาท่านเตือน

หลวงตาท่านจะเตือนพระ ปัญญานี้สุดยอด หลวงตาเวลาลูกศิษย์ลูกหายกย่องท่าน ตาสับปะรด เรามีสองตานะ แต่หลวงตาตารอบตัว เวลาท่านจะอบรมสั่งสอนพระไง

มันเป็นเรื่องประเพณีวัฒนธรรม มันเป็นสิทธิทั้งกฎหมายและทั้งธรรมะ ทั้งนิติศาสตร์ ทั้งรัฐศาสตร์ พระบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งถูกต้องชอบธรรมทั้งสิ้น แต่เกิดปัญญาหรือเปล่า เป็นประโยชน์กับเราหรือไม่ แค่เลี้ยงชีพเฉยๆ ใช่ไหม แค่เลี้ยงชีวิตนั้นไว้หรือ แล้วคุณธรรมในใจล่ะ

ข้าวมันมาจากไหน มันมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของเขา มันมาจากอุบาสก อุบาสิกาเขาศรัทธาในพระพุทธศาสนา เขาแลกเปลี่ยนมาด้วยปัจจัยของเขา มันได้มาจากแม่ครัวในบ้านหรือคนที่หุงหาอาหารนั้นมา เขามีศรัทธามีความเชื่อ เขาจะบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเขา เวลาเขาจะบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเขา แต่เขาอาศัยใส่บาตรกับสมมุติสงฆ์ ใส่บาตรกับพระนั้นไปเท่านั้น พระที่ดำรงชีพจากรัตนตรัย จากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

รู้หรือไหมว่าข้าวมันมาจากไหน ข้าวมันมาจากไหน

ข้าวมันมาจากศรัทธาความเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ต่างหาก ข้าวมันมาจากศรัทธาความเชื่อของประชาชนเขา

ไม่ใช่ข้าวมาเพราะว่า อู๋ย! ฉันมีชื่อเสียง ฉันเป็นยอดคน...ไร้สาระ

นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ พระพุทธ พระธรรม แล้วพระสงฆ์ พระสงฆ์มันเกิดขึ้นมาได้หรือไม่ พระสงฆ์มันเกิดขึ้นมามันต้องมีสติปัญญาอย่างนี้ มีสติปัญญาอย่างนี้เพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อค้นคว้าหาสัจจะความจริงในใจของตน

นี่ฟังสัจธรรมไง มันต้องมีสติมีปัญญามันถึงค้นคว้าหาใจของตนได้ แล้วมีสติปัญญาขึ้นมายกขึ้นสู่วิปัสสนา แทงทะลุรู้แจ้งในใจของตน รู้แจ้งในใจของตนนะ ไม่ต้องไปรู้แจ้งเรื่องคนอื่น

กิเลสในใจของเราน่ะ กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเราเป็นหน้าที่ของเรา แล้วมันจะกระทำได้ด้วยมรรคในหัวใจดวงนั้น มันไม่มีการกระทำจากมรรคในหัวใจดวงอื่น แล้วเราก็จะไปแก้ไขให้มรรคในหัวใจดวงอื่นให้มีสติปัญญาเห็นธรรมด้วยไม่ได้

ฉะนั้น ต้องรู้แจ้งในใจของตน ยกขึ้นสู่วิปัสสนาด้วยศีล ด้วยสมาธิในใจของตน ยกขึ้นสู่ให้เกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาในใจของตน แล้วเกิดปัญญาขึ้นมาแล้ว มรรคสามัคคีมันรวมตัว มันสมุจเฉทปหาน มันฆ่ากิเลส มันเป็นอย่างไร

นี่ไง จากแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ พลังงานของดวงอาทิตย์ จากแรงโน้มถ่วงจากดวงจันทร์ แรงดึงดูด นี่มันเรื่องนอกโลกทั้งสิ้นเลย ใครอย่าไปภาวนาหาพระอาทิตย์ พระจันทร์นะ ไม่มีหรอก ไม่มี

นี่พูดถึงคุณค่าของพระพุทธเจ้า คุณค่าของพระธรรม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ พลังงานทั้งหมดอยู่ที่พุทธะ อยู่ที่ผู้รู้ อยู่ที่ชีวะ ชีวะกลางหัวใจน่ะ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์จะอยู่ท่ามกลางหัวใจ

เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้นะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมลงเป็นหนึ่งเดียวในใจของท่าน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก รวมกันเป็นสัจจะเป็นความจริง

แต่พวกเราเป็นผู้อาศัย เราเกิดมาเป็นสิ่งมีชีวิต อาศัยชีวิตนี้อยู่กับโลก กามโลก รูปโลก อรูปโลก วัฏฏะ ผลของวัฏฏะ ผลของเวรของกรรม เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแทงทะลุหมดเลย จบ วิวัฏฏะ พ้นไปจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันมีคุณค่าขนาดนั้นน่ะ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่กราบ

ทั้งๆ ที่ท่านสร้างสมบุญญาธิการมาเพื่อค้นคว้าหามา ท่านเป็นเจ้าของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนาพุทธ ท่านเผยแผ่ๆ มา ท่านมีสิทธิทั้งนั้นเลย ท่านพยายามของท่านมาขนาดนั้น แล้วเวลาตรัสรู้ธรรมแล้วกราบธรรมๆ มันมีคุณค่าขนาดไหน

เวลาหลวงตาท่านตรัสรู้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมลงเป็นหนึ่งในใจของพุทธะ ในใจของท่าน

เราก็มีชีวะนะ เราก็มีชีวิตนะ เราอุตส่าห์แสวงหามา มาวัดมาวาเพื่อคุณค่าในใจของเราให้มันฉลาดขึ้น อย่าให้กิเลสมันบีบบี้สีไฟ อย่าให้กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายใจของเรา เราควรสร้างธรรม คือสติ คือสมาธิ คือปัญญา พรวนดิน รดน้ำพรวนดินปลุกเร้าใจของเราให้ตื่นขึ้นมา ให้มีความรู้สึกนึกคิด คิดออก คิดแยก คิดค้นคว้า คิดการกระทำ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเพื่อค้นคว้าหาพุทธะของเรา เอวัง